วันศุกร์ที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2556

หลักการทำงาน : ชนะตนเองก่อนเข้าเส้นชัย


    วันนี้เรามาดูหลักการปฏิบัติตัวเป็นพนักงานที่ดี เพื่อเพิ่มรายได้ เพิ่มความสามารถ เพิ่มโอกาสกันดีกว่า วันนี้จะมาลองเล่าเรื่องของ นายพลแม็คอาเธอร์ ผู้ยิ่งใหญ่ในสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง ได้รับการขนานนามว่ามีอุปนิสัยสร้างความประทับใจแก่คนอื่นมากที่สุด คือ สามารถควบคุมตัวเองได้ดีเยี่ยม เป็นคนสุขุม มั่นคง ไม่หวั่นไหว เมื่อใกล้เสียชีวิตได้อวยพรแก่ลูกชายว่า "ขอให้ลูกของพ่อมีจิตใจที่ผ่องใส มีเป้าหมายอันยิ่งใหญ่เกรียงไกร ขอให้คุณสมบัติเหล่านี้อยู่ในตัวลูก ก่อนลูกต้องไปปกครองคนอื่นเถิด คุณสมบัติเหล่านี้จะทำให้ลูกรุดหน้าโดยไม่ลืมอดีต"
    
     คำอวบพรของท่านมีความหมายมาก ชี้ให้เห็นว่าคนที่จะประสบความสำเร็จนั้น จะต้องมีองค์ประกอบสำคัญคือ มีเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ ประกอบไปด้วยจิตใจที่ผ่องใส อันนำไปส่งความคิดลวกและสติ ความมีเหตุผล หาทั้งสองลักษณะนี้อยู่ในตัวเรา จะก่อบุคลิกของเราให้ดำเนินความมั่งคน ซึ่งยังเป็นการแสดงออกว่าเราเป็นเจ้าคนนายคนได้ ตรงกับคำกล่าวที่ว่าคนที่ก้าวขึ้นมาเป็นเจาคนนายคนนั้น ควรเริ่มต้นจากการเป็นเจ้านายของตนเองก่อน

นโปเลียน ฮิลล์ ได้กล่าวถึงคุณสมบัติของคนที่ประสบความสำเร็จไว้ว่า “ต้องรู้จักควบคุมความคิดและหัวใจของตนเองไว้ตลอดเวลา” ดังนั้นคนที่ต้องการประสบกับความสำเร็จของชีวิตควรรู้จักควบคุมตนเองให้ได้ซะก่อน มีหลักง่ายๆดังนี้
·        ยึดมั่นในเป้าหมาย หมายความว่าควรตั้งเป้าหมายในการทำงาน ใช้ชีวิตที่ชัดเจน และปูทางให้เราสามารถไปยังเป้าหมายที่วางไว้ได้ โดยใช้เป้าหมายเป็นตัวกำจัดอุปสรรค ความผิดพลาด ความล้มเหลว
·        ใช้เหตุผลก่อนอารมณ์ หมายความว่า เราต้องควบคุมอารมณ์ของตนเองให้ได้ เมื่อเริ่มมีอรมณ์โกรธควรตั้งสติให้มั่งคง พร้อมทั้งหาเหตุผล และระงับความโกรธไป
·        ทำสิ่งที่ถูกต้องเหมาะสม การตัดสินใจไม่ว่าเรื่องอะไรควรเหามาะสมและสอดคล้องกับเป้าหมายระยะยาวที่ตั้งไว้ โดยมิให้ความต้องการหรือผลประโยชน์ระยะสั้นมาขัดขวางได้


ดังนั้นการที่เราทุกคนปรารถหนทางแห่งความสำเร็จจึงควรตระหนักเรื่องนี้ให้มาก ความสุขุมเยือกเย็น การควบคุมตนเองได้ของเราเป็นพฤติกรรมที่จะช่วยให้เราได้รับการยอมรับจากคนอื่น

วันจันทร์ที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2556

หลักการทำงาน : บ่มเพาะนิสัยในการพัฒนาตนเอง

ตอนแรก เราเป็นคนสร้างนิสัย แต่หลังจากนั้นนิสัยจะสร้างความเป็นตัวเรา จนพยายามเอาชนะนิสัยที่ไม่ดี ถ้าไม่สามารถทำได้แล้วไซร้ นิสัยเหล่านั้นก็จะชนะเรา
     
   นี่เป็นคำพูดของ รอบ กิลเบิอร์ต ซึ่งเป็นความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้ เมื่อเราเติมโตขึ้น เราจะแทบไม่สามารถแยกแยะออกได้ว่านิสัยของเรากับความเป็นตัวของเรานั้น ต่างกันตรงไหนบ้าง เพราะมันได้ผสมกลมกลืนกันจนเป็นตัวของเราแล้ว
        นิสัยเกิดขึ้นจากการที่เราทำสิ่งใดๆซ้ำๆ ในรูปแบบเดิมๆ จนกลายเป็นความเคยชิน เช่น นอนตื่นสายทุกวัน เป็นคนที่ผัดวันประกันพรุ่ง เป็นคนที่เห็นอกเห็นใจคนอื่น ชอบช่วยเหลือผู้อื่นอยู่เสมอ หรือเป็นคนที่โกหกแก้ตัวเสมอถ้าถูกจับได้ว่าทำผิด หรือเป็นคนที่ตรงเวลา นัดอะไรไม่เคยมาทันเลยซักครั้งเดียว เป็นต้น

       นิสัยเหล่านั้นเองที่กำหนดความเป็นตัวตนของเรา ในการทำสิ่งต่างๆตั้งแต่วิธีคิด ค่านิยม วิธีการดำเนินชีวิต รูปแบบพฤติกรรม รวมไปถึงสักษณะของการทำงานของเราด้วย นิสัยนี้เองทีทำให้คนเราแตกต่างกันไปในเวลาทำงาน เช่น คนที่มีนิสัยรอบคอบเวลาทำงานก็จะคอยตรวจทานทุกสิ่งอย่างละเอียด คนที่มีนิสัยสบายๆ มันไม่ชอบทำงานหนักหรือทำงานล่วงเวลา นิสัยขาดความอดทนจะไม่สามารถรับแรงกดดันหรือปัญหาที่เข้ามาได้ เป็นต้น

     นิสัยที่เอื้อต่อการประสบความสำเร็จในการทำงานคือ มีวินัย รับผิดชอบ มุ่งมั่น ขยัน เอาจริงเอาจัง รักการเรียนรู้ รอบคอบ ซื่อสัตย์ รักษาสัญญา รับความดีเลิศ ทำงานเป็นทีม อดทน คิดสร้างสรรค์ และชอบแก้ปัญหา
 
    ส่วนนิสัยที่เป็นอุปสรรคการทำงานได้แก่ เห็ฯแก่ตัว ไม่ชอบช่วยเหลือผู้อื่น เกรียจคร้าน เย่อหยิ่ง แก้ตัว ผัดวันประกันพรุ่ง รักสบาย ไม่รักการเรียนรู้
 
   นิสัยต่างๆเหล่านี้ส่งผลต่อความเก้าหน้าในการทำงานได้ ดังนั้นเราควรสำรวจว่าเรามีอะไรที่ยังไม่ดี ต้องแก้ไขกันบ้างและพยายามพัฒนาเปลี่ยนนิสัยของเราให้เป็นไปตามนั้น ซึ่งจะทำได้โดย


  • ความคิด ความคิดเป็นตัวกำหนดตัวตนของเรา ทั้งนิสัย พฤติกรรม และค่านิยม ดังนั้นหากเราต้องการเปลี่ยนแปลงจึงต้องเริ่มที่ปรับความคิดของเราให้ดีซะก่อน ซึ่งต้องเริ่มจากการ ปฏิเสธนิสัยที่ไม่ดีของตัวเรา และพยายามทำนิสัยที่ดีบ่อยๆจนกลายเป็นนิสัยของเราจริงๆ  
  • ความตั้งใจ การเป็นคนใหม่นั้นก็ไม่ต่างอะไรกับการเปลี่ยนแปลงตัวเอง แก้นิสัยเดิมๆ ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องง่ายๆเลย ถ้ามีแต่ความคิดที่อยากจะเปลี่ยนแค่นั้น ดังนั้นเราต้องอาศัยความตั้งใจของเราเพื่อให้ความคิดของเราเป็นจริง
  • วินัย  เราสามารถทำอะไรเป็นนิสัยได้ถ้าเราพยายามทำสิ่งนั้นต่อเนื่องกันมากกว่า 45 วัน มันจะกลายเป็นนิสัยเราได้ คำพูดนี้เป็นผลการวิจัยทางการแพทย์ที่ได้กล่าวไว้ ดังนั้น เราจำเป็นต้องฝึกนิสัยใหม่ โดยทำเป็ฯประจำจนเกิดความเคยชิน
  • พยายาม การทำอะไรก็แล้วแต่โดยเฉพาะการเปลี่ยนตัวเองให้เป็นคนที่ดีขึ้นนั้นย่อมไม่ง่าย หลายคนล้มเหลวเพราะไม่สามารถทำต่อได้ ดังนั้นคนที่อดทนและพยาายามจะเป็นคนที่สำเร็จได้
    สุดท้ายเราต้องตระหนักว่า ความสำเร็จของชีวิตนั้น อยู่ที่นิสัยของเราซะมากกว่าการศึกษา ความรู้ที่มี ซึ่งเป็นสิ่งที่พัฒนาได้ยาก แต่ก็หวังว่าจะพยายามทำกัน

 

วันอังคารที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2556

หลักการทำงาน : รวยความซื่อสัตย์ มั่นคงกว่า

กำแพงเมืองจีน หนุ่งในสุดยอดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกที่มนุษย์ได้สร้างขึ้น กล่าวกันว่าต้องใช้เงินและแรงงานคนจำนวนมหาศาลในการก่อสร้าง ด้วยหวังว่าเมื่อสร้างเสร็จแล้วความยิ่งใหญ่ของแพแพงจะช่วยป้องกันอาณาจักรจีนจากผู้เข้ามารุกรานได้ แต่ปรากฏว่า ข้าศึกสามารถเค้ามาโจมตีเมืองได้ถึงสามครั้งด้วยกัน โดยไม่ได้ทำลายกำแพงเมืองเสียหายแต่อย่างใด เพื่อพิจรณาจากประวัติศาสตื์แล้ว การที่ผู้รุกรานสามารถเข้าาเมื่องได้ด้วยวิธีง่ายๆ โดยไม่ต้องออกแรงทำลายกำแพงเลยนั้น เป็นเพราะว่าได้ติดสินบนทหายยามที่เฝ้าประตูอยู่ ทำให้สามารถเข้าโจมตีเมืองได้อย่างง่ายได้

   
      ความล้มเหลวของกำแพงเมืองจีนอยู่ที่ไหน? คาดว่าหลายคนคงพอรู้คำตอบแล้ว มันอยู่ที่ลักษณะนิสัยของชีวิตคนยังไม่เหมาะสมมากพอที่จะทำให้กำแพงเมืองจีนบรรลุวัตถุประสงค์ที่ได้สร้างมาเพื่อการณ์นั้นนั่นเอง ประวัติศาสตร์มักให้บทเรียนแก่เราเสมอ ในเรื่องนี้ก็เช่นกันเพียงเพราะคนไม่กี่คนขาดความซื้อสัตย์ มีแต่ความละโมบ เห็นแก่ทรัพย์สินเงินทองมากกว่าชาติของตนนั้น ก็สามารถทำลายชาติของตนเองด้วยมือคนกลุ่มเล็กๆได้ แม้จะสร้างเกราะป้องกันหนาแน่นอย่างไรก็ตามที



         คนที่ไม่ซื่อสัตย์ มักสร้างความเสียหายอันยิ่งใหญ่ได้เสมอ
         ดังนั้นการเลือกบุคคลมาร่วมการกังองค์กรด้วยความไม่รู้จักคุ้นเคยกันมาก่อน จึงจำเป็นต้องพิจารณาที่ประสบการณ์ ความรู้ความสามารถในสาขาที่ต้องการ แต่ถ้าเป็นไปได้แล้วไซร้ผู้บริหารทุกคนจะพยายามเลือกคนที่มีความซื่อสัตย์เป็นองค์ประกอบสำคัญด้วย ทั้งนี้เพราะความซื่อสัตย์เป็นองค์ประกอบสำคัญไม่น้องว่าบุคคลนั้นจะสามารถไว้ใจได้มากขนาดไหน ไม่คดโกงเอาผลประโยชน์ใส่ตน เป็นคนที่จะทำให้บริษัทเจริญก้าวหน้าได้

         นิสัยที่บ่งบอกถึงความไม่ซื่อสัตย์ได้แก่ เกรียดคร้านรักความสบาย ความละโมบ ความเห็นแก่ตัว นิสัยเหล่านี้เป็นต้นเหตุแห่งความไม่ซื่อสัตย์ได้เพราะการกระทำเช่น มาสาย โกงเวลาทำงาน หยิบฉวยอุกกรณ์กลับบ้าน ไม่รับผิดชอบงาน ใส่ร้ายคนอื่น ไปจนถึงเอาเวลางานเพื่อทำงานส่วนตัว แอบหาประโยชน์ส่วนตัวทำให้องค์กรเสียหาย

        การดำเนินชีวิตอย่างไม่ซื่่อสัตย์จะกลายเป็นความน่าเศร้าในระยะยาว ความไม่ซื่อสัตย์เป็นเสมือนหนามเล็กๆที่คอยทิ่มแทงจิตใจ เพราะรู้อยู่่าตนเองทำผิด จึงกลับว่าจะมีคนมาล่วงรู้และจับได้
     
       คนเราควรมีแรงบันดาลใจให้อยากเป็นคนที่มีความซื่อสัตย์ โดยตั้งคำถามกับตนเองว่า "เราอยากประสบความสำเร็จในระยะยาวหรือสั้น" ความสำเร็จที่ยั่งยืนได้เริ่มจากความตั้งใจจริงที่จะเอาชนะความฉ้อฉลที่สามารถเกิดขึ้นในจิตใจเราได้ทุกเมื่อ

วันจันทร์ที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2556

เพิ่มทุนด้วยความซื่อตรง

         ถ้าจะกล่าวว่าไม่มีใครไม่รู้จักองค์กรขนาดใหญ่อย่าง IBM ก็คงจะหาได้ยาก แน่นอนองค์กรใหญ่ขนาดนี้ย่อมมีประวัติศาสตร์ยาวนานหรือเรื่องเราวเล่าขานกันหลายเรื่อง เรื่องนึงที่มันอุส่าห์หลุดมาถึงประเทศไทยได้ก็คือ เรื่องของพนักงานคนนึงของ IBM

   
   เธอคนนี้มีหน้าที่ตรวจสอบพนักงานทุกคนที่ต้องการเข้ามาภายในบริเวณที่ปลอดภัยเป็นพิเศษหรือส่วนที่ต้องเช็คกันเป็นพิเศษของบริษัท วันนึงประธานบริษัทชื่อ วัตสันและผู้บริหารอีกหลายคนได้เข้ามาในเขตนี้เค้า ซึ่งเธอก็ทำการตรวจสอบแบบปกติ ปรากฏว่าประธานบริษัทชื่อ วัตสันดันไม่ผ่านการตรวจสอบ เธอจึงไม่ให้เขาเข้าไป ผู้บริหารอีกคนจึงถามเธอว่า เธอไม่รู้จักวัตสันเหรอ แน่นอน เธอรู้จักเป็นอย่างดี แถมตอนนี้ก็กลัวมากด้วยแต่เธอไม่สามารถอนุญาติให้เขาเข้าไปได้เพราะว่าไม่ผ่านการตรวจสอบ คิดว่าเธอจะได้รับผลตอบแทนอย่างไรกัน? มาดูกันเลย
 
         หลายคนคิดว่าเธอคนถูกต่อว่าอย่างแรงและถูกไล่ออกในทันที แต่ความจริงแล้วหาเป็นเช่นนั้นไม่ เธอกลับได้รับการชมเชยเป็นอย่างมาก และได้รับการยกย่องเป็นแบบอย่างที่ดี เพราะใน IBM ทุกคนไม่ว่าใครก็ตามต้องเคารพกฏแม้แต่ประธานบริษัทเองก็ตาม

        อ่านแล้วได้อะไรบ้าง

  • ความกล้าหาญที่จทำตามกฏระเบียบโดนที่ไม่เกรงกลัวคนที่มีอำนาจกว่า
  • วัฒนธรรมภายในองค์กรนี้ช่วงส่งเสริมความถูกต้องตามกฏระเบียบมากกว่าอำนาจ
    บุคคลากรที่ดี กับองค์กรที่ดี ย่อมเป็นองค์ประกอบที่เสริมกันอย่างลงตัวในการทำให้ทั้งตัวบุคคลและองค์กรขับเคลื่อนไปข้างหน้าด้วยความั่นคง ทั้งนี้มีองค์ประกอบสำคัญอีกอย่างนึงคือ ความซื่อสัตย์นั่นเอง

    นักธุรกิจหลายคนถูกถามว่า เหตุผลที่ท่านสามารถดำรงตำแหน่งผู้บริหารบริษัทนี้อยู่ได้เป็นเวลานานทั้งๆที่ท่านก็เริ่มต้นชีวิตการเป็นคนทำงานเหมือนกับคนอื่นๆ หลายคนจะตอบกลับมาว่า เพราะเชาเหล่านั้นมีความซื่อตรง ทำให้ได้รับความไว้วางใจให้รับผิดชอบดำเนินงานในบริษัทและดูแลสาขาทั่วโลกนั่นเอง ดังนั้นการทำงานที่ดีอีกอย่าง เราต้องมีความซื่อสัตย์เสมอ

วันอังคารที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2556

บทสัมภาษณ์งานภาษาอังกฤษ (2)



ต่อจากคราวก่อน มาดูแนวทางการถามตอบกันบ้างดีกว่าเลย

Q: "So, tell me about yourself"

This inquiry may be utilised to consider your character, preparation, communication abilities and ability to believe on your feet. arrange a register of what you do (your present or last job), your power (stick to job-focused skills), and a abstract of your vocation trajectory, connecting your know-how to the job at hand.

Q: "Why did you leave your last job?"

reply positively — "...for better career advancement or advancement possibilities, bigger responsibility, more larger variety at work..."

Q: "Why do you desire to do this job / work for this business?"

illustrate your knowledge of the business and re-emphasis your suitability for the place.

Q: "What do you think you have to offer this company?"

This is a possibility to vocalise your own applauds — intensifying on the skills you have that are required for the position.

Q: "What do you believe this position involves?"

This inquiry is designed to disclose if you have considered about the place, done some study, listened to the interviewer, and can condense all of this information clearly.

Q: "What do you understand about the company?"

illustrate your interest in the job, and your comprehending of the organisation and industry. converse about the study you did into the company''s key localities of interest, its dimensions, its major customers or current status, making quotation to your source of data.

Q: "Do you +have any inquiries you would like to ask?"

habitually prepare a question to inquire the interviewer. inquire about the position, demand clarification of general data about the business, or summaries your understanding and demand confirmation. If they have currently answered your questions notify them (be exact) so they understand that you have considered about the position in organising for the interview.

Q: "What do you accept as true are your key strengths?"

arrange responses that give exact demonstrations of your strengths at preceding positions that will support your job submission.

Q: "What do you believe are your flaws?"

No-one gladly admits real flaws in an interview position. It is general information that this is an opportunity to turn the question into a affirmative. Think of something that relates to your experience of work that is plausible as a flaw but is not actually a contradictory point. Eg; "I am very specific about detail", "I become very concentrated on the tasks I am engaged in"

Q: "Why have you had so many occupations?"

If you have had occupations in distinct industries or some places in a short time span, describe the positives — that you were discovering new abilities, following different vocation routes, and journeying overseas etc. mention to the experience you profited in past occupations that relates to the place under consideration.

Q: "What do you enjoy most about your current / last job?"

The knack with this question is to register what you have relished about work that strongly relate to the key competencies of the place in question, and mention that you are looking forward to expanding your experience / scope in these localities.

Q: A inquiry demanding secret information about a previous boss
Q: "Where do you glimpse yourself in five years time?"
Q: "Can you give me an demonstration of your creativity / managerial / organisational skills?"
Q: "Do you work well under pressure?"
Q: "Tell me about when something went incorrect"
Q: "Tell me about a time when you have came across confrontation in the workplace"
Q: "Have you ever had to deal with conflicting deadlines? How did you conclude which task to complete?"



อันนี้ตัวอย่างการแนะนำตัวเป็นภาษาอังกฤษ

My title is YOURNAMEANDSURNAME, I graduated in YOURFIELD from YOURUNIVERSITY in February 2001. My foremost is YOURMAJOR since this is the area in which I would like to focus.

In the university, I made very good use of my time both in revising, and in extra-curriculum undertakings. I utilised to be the leader of Japanese association. We educated Japanese to the student members who needed Japanese improvement. Besides, I was a member of the tennis association and represented the university group in the personal inter-university agrees. I also have other undertakings and interests such as basketball, swimming, and so on.

Since then, I have passed typing examinations. My hasten for English is forty phrases per minute and fifty phrases per minute for Thai. I do assuredly accept as true that this supplemented requirement will be very cooperative in typing declarations and sales report.
The attached resume will endow you to enquire my working know-how, teaching program and customer service oriented that I had in the past. in addition to, my selling and trading experiences are furthermore encompassed.

My trading experience has supplied me with the opportunity to evolve my ability as a difficulty solver and negotiator. To be an energetic, to blame, analytic and honest individual, I seem that I would be a trained candidate to work for your company. I am assured that I will be adept to perform my duties to your satisfaction.


--------------------------------------------------------------------------------

อันนี้อื่นๆ
I graduated with a degree in engineering from YOURUNIVERSITY


YOURLASTWORKPLACE has engaged me for the last 3 years as a webmaster.
I have been conceiving webpages for the past 6 months.


I was engaged by YOURLASTWORKPLACE as a sales representative.
I worked as a receptionist for Bangkok Bank.


Tips for a Job Interview 

Part 1

shattering the Ice

การสัมภาษณ์มักจะเริ่มต้นด้วย "ice breaker" (ทำให้บรรยากาศมีชีวิตชีวา) เป็นคำถามโดยทั่วๆไปเพื่อทำให้คนที่ถูกสัมภาษณ์รู้สึกสบายใจไม่กังวลมากจนเกินไป

ตัวอย่างคำถามหลักอาจจะเป็น:

How are you?
Have you been here before?
How about the climate today?

จำไว้เสมอว่าว่าจะต้องสุภาพ แต่ไม่พูดมาก

Question: How are you? Good response: I'm fine express gratitude you, and you?
Question: Have you been here before? Good response: This is my first time. I'm glad to be here.
inquiry: How about the climate today? Good answer: It's pleasant out today.

Part 2

Be Positive

เมื่อผู้สัมภาษณ์ถามคำถามคุณ คุณจะต้องใช้ภาษาที่มีความหมายในเชิงบวก เหตุผลทางจิตวิทยาเพราะคนเราไม่ชอบที่ได้ยินคำที่มีความหมายในเชิงลบ

Examples:

"I'm full of energy" (ดิฉันเป็นคนชอบทำงาน) ไม่ใช่ "I'm not lazy" (ดิฉันไม่ใช่คนเกียจคร้าน)

"I'm an honest worker" (ผมเป็นคนงานที่ซื่อสัตย์) ไม่ใช่ "I don't deceive" (ผมไม่คดโกง)

Part 3

Education and teaching


เมื่อพูดถึงประวัติการศึกษาของคุณ คุณจำเป็นจะต้องพูดประโยคที่เป็น past tense เท่านั้น

I attended YOURUNIVERSITY from xxxx to xxxx.
I graduated from YOURUNIVERSITY in xxxx.
I graduated with a degree in YOURDEGREE from YOURUNIVERSITY.

came to ศึกษาที่
graduated สำเร็จการศึกษา
degree ปริญญา


นอกเหนือจากประวัติการศึกษาแล้วสิ่งที่จำเป็นจะต้องบอกให้ผู้ที่สัมภาษณ์คุณ
ได้ทราบเพื่อเป็นประโยชน์ต่องานคุณควรจะบอกเกี่ยวกับสิ่งคุณได้เรียนเพิ่ม
เติมหรือฝึกฝนมาด้วย

I have taken English classes at the Bangkok English teaching Center for 3 years.
I visit XXX.com often to practice my English.

Part 4

Work know-how

เมื่อพูดถึงงานที่ทำอยู่ตอนนี้ให้ใช้ present flawless หรือ present flawless continuous

YOURLASTPLACE has employed me for the last 3 years as a webmaster.
I have been designing webpages for the past 6 months.


เมื่อพูดงานที่ทำในอดีต past tenses เพื่อบอกว่าคุณไม่ได้ทำงานที่บริษัทนั้นแล้ว

I was engaged by YOURLASTPLACE as a YOURRESPONBILITY.
I worked as a secretary for YOURLASTPLACE.

วันศุกร์ที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2556

บทสัมภาษณ์งานภาษาอังกฤษ


           หลังจากห่างหายไปทางวันนี้ขอสำเสนอบทสนทนาระหว่างสัมภาษางานกันหน่อนดีกว่า ส่วนมากจะเป็นคำที่คนไทยไม่ค่อยใช้กัน เผื่อเวลาไปใช้จะได้ดูมีความรู้มากกว่าคนอื่นเค้า

Q : morning / afternoon

A : morning / afternoon – sir / mam.

Q : how are you today? (สบายดีไหม)
How are you doing?    (สบายดีไหม)
How does one do?  (สบายดีไหม)

A : I’m fine / I’m OK ..thanks and you?

Q : ก็แล้วแต่เค้าจะตอบ


การสัมภาษณ์งาน

Q : Would you prefer to inform  about yourself? อยากให้เล่าเกี่ยวกับตัวเอง

A : i used to be born in …
I graduated from …. In …ปีที่จบ
Major ….
When I was student. I actually have old add half time jobs as …. (ถ้ามี / ถ้าไม่มีข้ามไป)
On my free time. i favor to surf internet and ….(งานอดิเรก) เช่น reading, movies, แต่ควรจะเป็น เรื่องที่เกี่ยวข้องกะงานเอาไว้จะดีกว่า ....


Q : Would you prefer to inform Pine Tree State regarding your pan experiences? เล่าการทำงาน

A : once graduated in 2000 (สมมติ) I actually have got a primary job at ….ชื่อบ.
Worked as … ตำแหน่งงาน
My responsibility are …. ทำอะไรบ้าง ....

Q : does one have a laptop talent ? .ใช้คอมได้ระดับไหน
Can you speak different language? พูดภาษาอื่นได้อีกไหม
Can you use internet? ใช้อินเตอร์เน็ต
Can you use workplace material? เครื่องใช้สำนักงานเป็นไหม
- affirmative I will .
Do you keep alone in Bangkok? อยู่กรุงเทพคนเดียวเหรอ
- Yes / No, with friends,relatives
Do you have sister or brother? คุณมีพี่น้องไม่
- Yes,1 sister / No am the sole one kid. (มีพี่สาวน้องสาว / ลูกคนเดียว)


          หลังจากนั้นผู้สัมภาษณ์จะเล่าเกี่ยวกับบริษัทของเขา เช่น ลักษณะธุรกิจ เปิดมากี่ปีแล้ว บริษัทแม่อยู่ที่ไหน วัตถุประสงค์ อื่นๆ แล้วก็จะวกเข้ามาที่ตำแหน่งที่เราสมัครว่า ทำไมเขาจึงมีความต้องการรับคนเข้าทำงานในตำแหน่งนี้ ซึ่งคุณนายไม่สามารถเขียนบรรยายได้เพราะมันมากมาย ... เอาเป็นว่าเขาจะถามเราแล้วหล่ะว่า

Q : does one have any questions?
Any questions?
About our business, does one have a questions?

ซึ่งถ้าเราไม่แน่ใจนัก ก็ให้บอกว่า

A : No, i will be able to have a lot of question once I’ll see you once more. ยังไม่มีตอนนี้ เอาไว้ร่วมงานกันแล้วมีแน่ๆ ประมาณนั้น

หรือถ้าเราเกิดสงสัยต่างๆ ก็ตั้งคำถามที่เกี่ยวข้องกับตัวงาน เพื่อให้เขารู้สึกว่า เราสนจัย

A : what percentage staffs ar operating during this section? มีพนักงานทำงานตำแหน่งนี้กี่คน


** ถ้าเราไม่มีคำถามแล้ว เขาอาจจะปิดการสัมภาษณ์ **

Q : Well,we can have to be compelled to speak along then will offer you feedback later.
We will decision you later.
We will revisit to you as before long as attainable.
** อีกมากมาย **
A : Yes .. many thanks considerably i will be able to forestall to listen to from you ขอบคุณ ฉันจะรอ .. ในที่นี่หมายถึง โทรศัพท์

Q : Sure .. thanks for returning แน่นอน .... ขอบคุณที่แวะมา

A : Thanks for some time and chance ขอบคุณที่ให้โอกาศและเสียสละเวลามาสัมภาษณ์


Q : Have a pleasant day … goodbye / Good luck

A : Thanks , same to you .. ถ้าเราไม่อยากพูดยาว หรือไม่ก็พูดเหมือนเขานั่นแหละ


สุดท้ายสำหรับเวลาฟังเค้าพูดไม่ทัก

- Pardon me / excuse me will u repeat it again? ขอโทษนะ พูดอีกทีได้ไหม
- Sorry, I can’t catch it, are you able to speak slowly? ขอโทษนะฟังไม่ทัน พูดช้าๆหน่อยได้ไหม
- Sorry , assume my English isn't thus smart, are you able to speak once more please? ขอโทษนะภาษาไม่ค่อยดีพูดอีกทีได้ไหม

วันอังคารที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

ฮวงจุ้ยโต๊ะทำงาน

         การทำงานไม่ว่างจะเป็นที่ไหนฮวงจุ้ยก็ย่อมมีผลต่อการทำงานบ้างไม่มากก็น้อย หลายคนที่ไม่เชื่อเรื่องพวกนี้ก็ขอให้คิดซะว่าอย่างน้อยก็เป็นการจัดโต๊ะทำงานให้สะอาด ดูน่าเชื่อถือ มีระเบียบแทนก็แล้วกัน
1. ตำแหน่งโต๊ะทำงานที่ดี ควรอยู่ทางด้านหลัง เพราะทางฮวงจุ้ยข้างหลังถือว่าข้างหลังหมายถึงความมั่นคง แต่ถ้านั่งหันหลังให้กระจกซึ่งเป็นวัตถุที่มีการสะท้อนอยู่ตลอดเวลา แสดงว่าหน้าที่การงานของคุณไม่แน่นอนแล้วและกระจกยังดูดพลักงานของผู้ที่มันสะท้อนอยู่ด้วย ดังนั้นเค้าถึงไม่ให้นอนแล้วให้กระจกหักเข้าหาคนเวลานอนนั่นเอง ทางแก้คือหามู่ลี่มาปิดทับบริเวณด้านหลังให้ทึบอยู่ตลอดเวลา หรือถ้ามีตู้ทึบอยู่ด้านหลังก็พอจะช่วยได้ แต่ถ้าจะให้ดี ควรนั่งหันหลังให้กำแพงและหารูปภาพมาติดไว้ตรงบริเวณด้านนี้ โดยเลือกที่มีความหนักแน่น เช่น ภูเขา ส่วนทิศทางตำแหน่งของการนั่งนั้น ถ้าเป็นห้องส่วนตัว ควรตั้งโต๊ะไว้ในลักษณะที่จะสามารถมองเห็นคนที่เข้ามาในห้องได้อย่างชัดเจน

2. พยายามหลีกเลี่ยงการตั้งโต๊ะทำงานตรงกับประตู เพราะจะถูกนินทาว่าร้ายเอาได้ และไม่ควรนั่งหลังลอยหรือนั่งหันหลังให้ประตู เพราะอาจถูกแทงข้างหลังจากเพื่อนร่วมงานได้ค่ะ แต่ถ้าหากเลี่ยงไม่ได้ควรหาฉากหรือต้นไม้มาคั้นระหว่างประตูหรือโต๊ะทำงาน หรือที่จริงเค้าคงอยากจะบอกว่านั่งแถวนั้นมันเวลามีคนเดินเข้าเดินออกมันรบกวนทำให้หนวกหูทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ

3. ไม่ควรให้โต๊ะทำงานหันไปชนกับมุมเสา เพราะจะทำให้เจอแต่เรื่องไม่ค่อยดี ถ้าหลีกเลี่ยงได้ให้หาคริสตัลมาวางสะท้อนพลังงานด้านลบออกไป ที่จริงเพราะมันอับ มีฝุนตก และมองอะไรไม่ค่อยเห็นทำให้คิดอะไรไม่ค่อยออกนั่นเอง

4. หันโต๊ะทำงานไปในทิศทางเดียวกัน ถ้าคุณต้องนั่งรวมกับคนอื่น ควรพยายามหันโต๊ะทำงานไปในทิศทางเดียวกัน และหลีกเลี่ยงการหันหน้าโต๊ะเข้าหากัน เพราะเดี๋ยวจะคุยกันเพลินจนลืมทำงาน

5. แก้เคล็ดหากนั่งใต้คาน ถ้าใครที่นั่งใต้คานจะส่งผลให้คนๆ นั้นมีความเครียดสูง การงานไม่ราบรื่น หรือทำงานผิดพลาดได้ง่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าคุณอยู่ในแผนกบัญชีหรือการเงิน อาจจะส่งผลเสียต่อองค์กรเป็นอย่างมาก ทางแก้ไขมีหลายแบบ แต่ที่ง่ายที่สุด คือการใช้คานให้เป็นประโยชน์ด้วยการแขวนนาฬิกา หรือติดหลอดไฟไว้ใต้คาน

6. วางของสูงที่มุมโต๊ะด้านซ้าย ที่ด้านซ้ายของโต๊ะทำงาน เป็นตำแหน่งแห่งอำนาจในการทำงาน ให้วางของที่มีความสูงมากที่สุดเอาไว้มุมนี้ เช่น หน้าจอคอมพิวเตอร์ ชั้นวางเอกสารสูงๆ และควรที่จะมีต้นไม้เล็กๆ วางไว้ข้างจอคอมพิวเตอร์ จะเป็นต้นตะบองเพชร เฟิร์น เพื่อเป็นการลดความแรงของสนามแม่เหล็กจากจอคอมพิวเตอร์

7. ของที่ควรหลีกเลี่ยงบนโต๊ะทำงาน  ควรหลีกเลี่ยงของตกแต่งบนโต๊ะทำงาน หรือรูปภาพที่เป็นรูปสัตว์ในสิบสองปีนักกษัตร เช่น หนู งู ม้า ไก่ ลิง ฯลฯ เพราะสิ่งที่เราตั้งอาจกลายเป็นการชงปะทะกันเองกับปีเกิดของตัวเอง หรือผู้ที่มาติดต่อโดยไม่รู้ตัว ถ้าที่ดี (ทางแก้ไขแนะนำให้ตรวจสอบในตารางของคลังคู่มิตรปีเกิด)

8. ของที่เหมาะกับด้านขวาของโต๊ะ ซึ่งเป็นตำแหน่งของการประสานงาน ความราบรื่น ให้วางพวกข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ ที่มีความสูงน้อยไว้ในส่วนนี้

9. เสริมพลังตรงด้านหลังของโต๊ะ หากมีชั้นหรือมีพื้นที่วางของได้ ให้หา "เต่าคริสตัล" มาวาง เพื่อเป็นการกระตุ้นพลังงานด้านการสนับสนุน และความเจริญก้าวหน้าในหน้าที่การงาน

10. ดูดซับพลังงานตรงด้านหน้าของโต๊ะ ตรงนี้ถือเป็นจุดรับพลังงานต่างๆ ที่จะไหลเข้ามาสู่โต๊ะโดยตรง ให้หาแก้วน้ำใส่น้ำและหินเก๋ๆ มาวางประดับอะไร เพื่อดูดซับพลังงานที่ดี

แถมๆ รูปการวางโต๊ะทำงานในห้องที่ดี

อันนี้เป็นรูปตำแหน่งต่างๆของฮวงจุ้ยบนโต๊ะทำงาน



ขอบคุณที่มาจาก http://horoscope.kapook.com/view10368.html

วันอังคารที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

หางานราชการ สมัครงานรัฐวิสาหกิจ



     หลายๆคนพ่อแม่ก็คงอยากให้ลูกทำงานทำการดีๆ มีหลักมีฐาน สวัสดิการดี มั่นคง ซึ่งงานที่ได้แบบนี้ส่วนมากก็คงไม่พ้นงานราชการ หรืองานรัฐวิสาหกิจ แล้วงานราชการเป็นอย่างไรบ้าง ส่วนมากก็จะคิดกันว่าเข้าไปแล้วสบายไม่ต้องทำงาน ต้องของบอกว่าเป็นเพียงบางที่เท่านั้น สมัยนี้ถ้าไม่ทำงานไม่มีผลงานก็อาจจะถูกไล่ออกได้ไม่ยาก แล้วข้อดีข้อเสียระหว่างเอกชนและราชการเป็นอย่างไรบ้างล่ะ ลองมาดูเลย


ราชการ-รัฐวิสาหกิจ
เอกชน
รายได้
น้อย
สูง
มั่งคง
สูง
กลาง ต่ำ ขึ้นอยู่กับตำแหน่ง
สวัสดิการ
ดีมาก
แล้วแต่บริษัท
ความเครียด
กลาง-ต่ำ
กลาง-สูง
ความเร่งรีบ
กลาง-ต่ำ
กลาง-สูง
งานต่อเงินเดือนที่ได้
เหมาะสม
น้อยไป
โอที
ได้เท่าที่ทำ
ได้บ้างไม่ได้บ้าง

การสอบเข้าล่ะ สมัยนี้ก็ใช้ข้อสอบทั่วไป ทั้ง  Aptitude  test ภาษาอังกฤษ (หลังๆเริ่มรีเควส TOEIC แทน ซึ่งเรทตั้งแต่ 450-600) แล้วก็วิชาเฉพาะ การเตรียมตัวก็ไม่ยากมากมาย ซ้อมโจทย์ซึ่งหาซื้อได้ที่ หน้าราม ประกอบกับหาข้อมูลเอง ฝึกความเร็วในการทำข้อสอบ และฝึกแนวโจทย์ไว้สำหรับสอบเยอะๆ เวลาทำข้อสอบจะได้ทำได้รวดเร็ว และผิดพลาดน้อยที่สุด เพราะข้อสอบจะไม่ได้ยากมากมาย คนส่วนมากทำได้อยู่แล้ว แต่คนที่ทำคะแนนได้สูงที่สุดกลุ่มแรกๆ ถึงจะเป็นผู้มีโอกาสได้เข้ารับการสัมภาษณ์งาน
ก่อนเข้าสอบความเตรียมตัวอย่างไรบ้าง
·         อ่านหนังสือ ทำแบบฝึกหัด ทำหลายๆรอบคนกว่าจะจับเคล็ดของข้อสอบหรือหาวิธีลัดได้ อย่าคิดว่าข้อสอบง่ายไม่ต้องซ้อมไรมากไม่ต้องอ่านไรมากก็ได้ อันนี้เป็นความคิดที่จะทำให้ตกม้าตายง่ายๆ
·         หลังจากลองทำตัวอย่างข้อสอบดูก็จะพอทราบได้ว่าจะต้องอ่านหนังสือแนวไหน ตอนนี้ก็น่าจะสามารถ list เนื้อหาที่จะออกสอบได้
·         แบ่งเวลาอ่านหนังสือตามหัวข้อที่ list ไว้ ควรเผื่อเวลาไว้ที่ 1.5 เท่าของที่กะไว้ เผื่อทบทวนและเกิดมีเหตุฉุกเฉินทำให้ไม่มีเวลาอ่านหนังสือได้ โดยแบ่งเป็น
o   เนื้อหา
o   แบบฝึกหัด
o   ทบทวน
o   ทำสรุป
·         ทำสรุปเนื้อหา จะได้ทบทวนได้ง่าย รู้ว่าตรงไหนเข้าใจตรงไหนไม่เข้าใจตรงไหน จะได้ทบทวนถูกในเวลาสั้นๆ
·         ศึกษาเส้นทางไปสถานที่สอบ เผื่อเวลาไว้นั่งพัก ทำสมาธิซัก 1 ชั่วโมง หาห้องสอบ ปล่อยให้สมองโล่ง (โล่งเพื่อให้ทำข้อสอบได้ไม่ใช่เอาความรู้ออกจากสมองนะ)
·         ไม่ควรกินข้าวก่อนสอบในช่วง 1ชั่วโมง เพราะมันจะดึงพลังงานจากที่จะไปเลี้ยงสมองกลับลงไปเลี้ยงกระเพาะอาหารให้ย่อยอาหารแทนทางที่ดี ควรกินอะไรที่ไม่หนักท้องมาก เช่น โจ๊ก ข้าวต้ม(ที่ไม่ซดน้ำเยอะมากเกินไป) ขนมปัง ดีที่สุดเท่าที่ทดลองมาคือ แวะ 7-11 หาพวกขนมปังกับไส้กรอกกิน แล้วค่อยเดินทางไป
·         ระหว่างทางจิบน้ำเพื่อให้ร่างกายไม่ขาดน้ำ ซึ่งถ้ากินน้ำน้อยเกินไปเพราะกลัวจะอยากเข้าห้องน้ำก็ควรจะกินก่อนเข้าสอบซัก 30 นาที ให้มีเวลาดูดซึ่มและปล่อยออกมาก่อนสอบ หลายๆคนกลัวปวดอยากเข้าห้องน้ำจนไม่ยอมดื่มน้ำก่อนสอบ ซึ่งเป็นความคิดที่ผิดมหันต์ ร่างกายคนประกอบด้วยน้ำ 70% ถ้าไม่ดื่มน้ำแล้วสมองจะเอาอะไปใช้
·